The first day in Manila


This is my first time to Philippine.  At first sight, I see the airport (Ninoy Aquino International Airport), I thought of the Don Mueang Airport immediately because it looks quite similar.  But, this airport should be bigger due to there are 4 terminals here and Don Mueang has just only 2.

After landing and pass the immigration process, I took a taxi to the accommodation.  On the way to the hotel, I saw many kinds of trees which as same as in Thailand such as Coral Vine, Royal Poinciana and etc.  The roadside scenery along the way to the hotel looks like a suburb of Bangkok (Bangna or Nonthaburi vicinity).  I also saw the big PTT fuel station here and when I took a photo, the people in the station posted like they are a model and waved at me, so friendly.

The situation which makes me thinking of Bangkok is the traffic. The traffic here is very terrible. I stuck in the traffic jam and it took around 2 hours and a haft from the airport to the hotel. It might be the symptom of ‘homesick’ crisis.

One thing which is totally different from Bangkok is, there are a lot of security guards with guard dogs.  The inspection is very strictly. I have to open my bag every time I pass the checkpoint.  That makes me feel uncomfortable and not safe enough.

In the evening after the first-day training, Our host took us to try the Philippines local food.  I have tried Adobo — look like pork boiled in soy sauce, Sisig, Sinigang–similar to Thai spicy soup but there is no chilli.  Its taste is sour and salty, another one I cannot remember its name.  It looks likes Fired Pork with garlic but more salty.  Another menu is a fruit salad which contains mango, grapefruit, toasted coconut, dried salt prawn and shrimp paste.  Its taste is sour and smelly.  I forgot its name as well.  I’ve tried ‘Halo-Halo’.  It’s the popular Filipino dessert, it’s a mixture of shaved ice and taro ice cream.  The shaved ice which mixed in Halo-halo is similar to our shaved ice.  Ingredient–as I see– includes shaved ice, jackfruit, jelly, kidney bean, lotus seed, palm seed and custard.  The taste is not quite sweet but very delicious.

During the dinner, I looked around and see that the Filipino is similar to the Thai. I feel as though I am having dinner somewhere in Bangkok. It’s very strange because, for the people in the neighbouring country of Thailand such as Myanmar, Laos, Cambodia, Malaysia, we can recognise the differentiation of each other but for the Filipino, we look very harmonious as if we are the same tribe, although the location of the two countries is very far from each other and separated by the sea.

ไหว้พระวันปีใหม่ในเกาะรัตนโกสินทร์ (2)


กลับมาถึงฝั่งพระนครเราขึ้นรถเมล์สาย 64 จากท่าช้างมาลงตรงแถว ๆ บางลำพูแล้วเดินเลียบถนนจักรพงษ์เพื่อที่จะไปไหว้พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ฯ และสักการะรูปเคารพสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทหรือสมเด็จพระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ฯ วัดชนะสงครามฯรูปเคารพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ วัดชนะสงครามฯกรม
พระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ ณ วัดชนะสงคราม ซึ่งตามคติความเชื่อหากได้มาไหว้พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ ฯ และรูปเคารพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ จะทำให้มีชัยชนะต่อสิ่งทั้งปวง อุปสรรคร้ายพ่ายแพ้ไป และเช่นกันครับ ที่นี่ก็เป็นที่ที่สี่ที่เราตั้งใจว่าจะต้องมากันอีกหน

ออกจากวัดชนะสงครามเราเดินมาตามถนนจักรพงษ์เลี้ยวขวาเข้าถนนพระสุเมรเพื่อที่จะไปไหว้พระพุทธชินสีห์ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อที่จะได้พบพานแต่สิ่งที่ดี ๆ ในชีวิต

ที่วัดบวร ฯ เราได้มีโอกาสไหว้พระศาสดาและพระพุทธไสยาในวิหารพระศาสดา พระพุทธวชิรญาณ, พระพุทธปัญญาอัคคะ, พระพุทธมนุสสนาคและพระพุทธปฏิมาทีฆายุมหมงคลในวิหารเก๋ง ซึ่งปกติทางวัดไม่ได้เปิดให้เข้าชมบ่อยนัก
พระพุทธชินสีห์ พระศาสดา พระพุทธวชิรญาณ พระพุทธปัญญาอัคคะ พระพุทธมนุสสนาค

ออกจากวัดบวร ฯ เราเดินออกมาตามถนนพระสุเมรุเลี้ยวขวาเข้าถนนดินสอ ตรงไปยังวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งเราแวะถ่ายรูปอนุสาวรีย์ ฯ สักพักก็เดินตามถนนดินสอตรงไปยังศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อที่จะไปยังวัดสุทัศนเทพวรารามเพื่อไปสักการะองค์พระศรีศากยมุนี ซึ่งเชื่อกันว่าไหว้พระที่นี่จะมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยยามเย็น เสาชิงช้า พระศรีศากยมุนี บานประตูพระอุโบสถวัดสุทัศน์ ระเบียงคดรอบโบสถ์วัดสุทัศน์

หลังจากที่ไหว้พระศรีศากยมุนีเสร็จเราก็ออกจากวัดสุทัศน์ ฯ เดินไปตามถนนบำรุงเมืองเลี้ยวซ้ายเข้าถนนบริพัตร ไปสักการะพระบรมบรรพตที่วัดสระเกศ ฯ ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เชื่อกันว่าหากได้มากราบไหว้จะช่วยเสริมสร้างความคิดอันเป็นมงคล

เมื่อเข้ามาในบริเวณวัดเราได้เข้าไปกราบพระประธานในพระอุโบสถก่อน จากนั้นจึงค่อยเดินขึ้นไปยังพระเจดีย์บนภูเขาทอง น่าเสียดายที่เมื่อเราไปถึงด้านบนกำลังมีการทำพิธีเจริญพระพุทธมนตร์ จึงไม่สามารถขึ้นไปบนฐานเจดีย์ได้ เราจึงได้แต่ไหว้พระใต้ฐานพระเจดีย์ และถ่ายรูปวิวรอบนอกเท่านั้น
ภูเขาทอง ถ่ายจากนอกวัด พระอัฏฐารส ศรีสุคตทศพลญาณบพิตร ภูเขาทอง ถ่ายจากพระอุโบสถ ... เพื่อนร่วมทาง เหนื่อยก็นั่งพัก เดินชิลล์ๆขึ้นเขา ... ... ... ... ถนนราชดำเนินกลางเมื่อมองจากบนภูเขาทอง โลหะปราสาทวัดราชนัดดา ฯ มองจากบนภูเขาทอง ภูเขาทอง ถ่ายจากนอกวัดเมื่อขากลับ

เมื่อออกจากวัดสระเกศฯเราเดินออกมาทางถนนบริพัตรตรงไปยังสะพานผ่านฟ้าลีลาศข้ามคลองมหานาคเพื่อจะไปยังวัดราชนัดดา ฯ เป็นวัดที่เก้า แต่พอไปถึงวัดราชนัดดา ฯ  ปรากฏว่าพระอุโบสถปิดเสียแล้ว เราจึงได้แต่เดินถ่ายรูปด้านนอกและโลหะปราสาท จากนั้นจึงเดินกลับออกมาทางถนนมหาชัย เพื่อจะไปกินผัดไทยประตูผี แต่ก็ปรากฏว่ามีคนยืนรอแน่นขนัดจนล้นออกมาบนถนน เราก็เลยเปลี่ยนใจซึ่งนี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผมมาย่านนี้และก็ยังไม่ได้กินเสียที

เราเดินเลยออกมาตามถนนมหาชัย เดินมาเรื่อย ๆ ไปจนถึงสี่แยกสำราญราษฎร์ก็พบว่าร้านตี๋เย็นตาโฟก็คนเต็มแน่นร้าน เราก็เลยเดินข้ามแยกสำราญราษฎร์ต่อไปอีกหน่อยก็เจอร้านเฮ้งกี่ซี่งเป็นร้านบะหมี่ชื่อดังอีกร้านหนึ่งในย่านนี้เราเห็นคนแน่นเช่นเคยแต่ก็ยังพอมีโต๊ะว่างก็เลยตัดสินใจลงจอดที่นี่แหละ ด้วยความหิวและเหนื่อยผมเลยสั่งบะหมี่ไข่พะโล้หนึ่งชามกับบะหมี่ใส่บะเต็ง (หมูหวาน) อีกหนึ่งชาม ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกันก็ซัดบะหมี่เกี๊ยวคนละชามและบะหมี่บะเต็งอีกชามเช่นกัน
ชามนี้บะหมี่ไข่พะโล้ ชามนี้บะหมี่เกี๊ยวใส่บะเต็ง

จากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับโดยนัดกันไว้ว่าจะต้องหาเวลามาซ่อมในหลาย ๆ วัดกันอีกสักสองสามหน เป็นอันจบทริปมาราธอนคราวนี้ครับ

ไหว้พระวันปีใหม่ในเกาะรัตนโกสินทร์ (1)


สวัสดีปีใหม่ครับ ปีใหม่ปีนี้แต่เดิมผมตั้งใจไว้ว่าจะไปเยี่ยมพี่ชายที่อ่างทอง แต่ต้องเปลี่ยนแผนกระทันหันเนื่องจากป่วยในสัปดาห์ก่อนหน้าปีใหม่ เลยต้องอาศัยวันหยุดช่วงปีใหม่สามวันนี้มาใช้พักฟื้น แต่ครั้นจะเอาแต่หมกตัวอยู่แต่บ้านก็ออกจะน่าเบื่อ ก็เลยชวนเพื่อน ๆ ออกไปไหว้พระในวันปีใหม่กันครับ

เรานัดพบกันที่ศาลหลักเมืองประมาณเก้าโมง แต่กว่าจะได้พบกันจริงก็ปาเข้าไปเกือบสิบจนได้สิน่า เช้าวันนี้ท้องฟ้าสดใสและแดดก็แรงมากด้วย ผู้คนมากมายมาจากทุกสารทิศจนแน่นขนัดไปหมด เราก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายซึ่งจากเดิมที่คิดว่าจะเริ่มจากวัดพระแก้ว โดยเปลี่ยนเป็นข้ามไปทางฝั่งธนบุรีก่อน เราเดินเลียบรั้วพระบรมมหาราชวังมาตามถนนสนามไชยเลี้ยวมาเข้าถนนท้ายวัง เพื่อที่จะไปขึ้นเรือข้ามฟาก แต่แล้วเราก็เปลี่ยนใจเป็นครั้งที่สองเมื่อผ่านวัดโพธิ์ เราตัดสินใจเริ่มต้นที่วัดโพธิ์ก่อนเป็นลำดับแรกโดยไปสักการะพระพุทธไสยาสน์หรือพระนอนวัดโพธิ์นั่นเองครับ เป็นที่เชื่อกันว่าถ้าได้มาไหว้พระนอนวัดโพธิ์แล้วจะอยู่ดีกินดี ร่มเย็นเป็นสุข

หลังจากที่เราไหว้พระนอนแล้วก็ฝ่าฝูงคนออกมาด้านนอก เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน ยอมรับจริง ๆ ว่า ที่วัดโพธิ์มีมุมสวย ๆ ให้ถ่ายภาพเยอะมาก จนเวลาที่เรากะเอาไว้ไม่พอ ก็เลยตั้งใจกันว่าเราจะกลับมาซ่อมกันอีกและจะใช้เวลานานกว่านี้
จุ๊กะอ้อ เพื่อนร่วมทริปไหว้พระปีใหม่

ออกจากวัดโพธิ์เราเดินกันต่อจนมาถึงท่าช้างซึ่งเป็นเวลาประมาณเที่ยงพอดี ก็เลยแวะเติมพลังกันที่ร้านสวัสดิการทหารเรือก่อนที่จะเดินทางต่อ

หลวงพ่อโต ซำปอกง วัดกัลยาณมิตรเติมพลังเสร็จเรียบร้อยเราออกมาที่ท่าช้างเพื่อขึ้นเรือไปยังวัดกัลยาณมิตรฯ วัดอรุณฯ หรือวัดแจ้ง และวัดระฆังฯ เราเลือกตั๋วแบบแพ็กเกจสามวัดราคาคนละ 100 บาทครับ โดยมีเวลาที่วัดกัลยาณมิตรฯ และวัดแจ้ง วัดละครึ่งชั่วโมง ซึ่งเราคิดว่าน่าจะพอสำหรับไหว้พระและถ่ายรูป แต่เราคิดผิดเพราะแต่ละวัดนั้นมีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก โดยเฉพาะทางย่านวัดกัลยาณมิตร ฯ นั้นเป็นชุมชนเก่าแก่และมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมและศาสนาเป็นอย่างมาก แต่ชาวชุมชนก็อยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์มากว่าสองร้อยปี สถานที่สำคัญที่น่าสนใจในย่านนี้ นอกจากวัดกัลยาณมิตรแล้วยังมีโบสถ์ซานตาครูสและศาลเจ้าเกียนอันเก็ง เราก็เลยตั้งใจกันไว้ว่า เราจะกลับมาซ่อมกันอีกเป็นที่ที่สอง สำหรับคราวนี้เราเลยทำตามที่เราตั้งใจไว้ก่อนคือเข้าไปไหว้หลวงพ่อโตซำปอกง วัดกัลยาณมิตร ซึ่งเชื่อกันว่าจะเดินทางปลอดภัย ถ้าถวายผ้าห่มด้วยเชื่อว่าจะได้มีเครื่องคุ้มป้องกันภัยตลอดปี

ออกจากวัดกัลยาณมิตร เรานั่งเรือมาขึ้นที่ท่าเรือวัดอรุณฯ เพื่อไปสักการะพระปรางค์วัดอรุณฯ ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้มีชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน
พระปรางค์วัดอรุณฯผู้คนขึ้นไปสักการะพระปรางค์ด้านบน

เรานั่งเรือมาต่อที่วัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งเป็นวัดที่ประทับของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เราเข้าไปในโบสถ์และสวดพระคาถาชินบัญชรเพื่อความเป็นสิริมงคล
พระประธานในโบสถ์วัดระฆังฯหอไตรวัดระฆังฯนกพิราบในวัดระฆัง เจ้านี่เชื่องคนมากขนาดขยับเข้าใกล้เพื่อจะถ่ายรูป มันยังไม่บินหนีเลย

จากนั้นก็ออกมาถ่ายรูปที่ด้านนอกกันสักพัก แล้วก็ข้ามกลับมายังฝั่งพระนครเพื่อที่จะไปต่อกันครับ

ทำกับข้าวกินเองตามประสาชาย(โฉด)โสด #22


บัวลอยไข่หวาน

สวัสดีครับ ครั้งนี้มาทำขนมหวานกันอีกสักหน หลังจากที่ได้ทำไปเมื่อคราวก่อน ทำให้เริ่มติดใจ อยากจะหาอะไรมาทำอีกสักอย่างสองอย่าง เรื่องของเรื่องก็คืออยากกินบัวลอยไข่หวาน ซึ่งไม่ได้กินมานานแล้ว ก็เลยเป็นที่มาของบทความคราวนี้แหละครับ

หลายๆคนอ่านมาถึงตรงนี้คงคิดว่าไอ่คนเขียนมันท่าจะบ้าแน่แล้ว อยู่คนเดียวจะไปทำทำไมให้มันยุ่งยาก(วะ) ซื้อเขากินง่ายกว่าตั้งแยะ ซึ่งก็จริงครับ แต่ซื้อเขากินมันน้อยไม่ค่อยสะใจ แถมกะทิยังใสกิ๊งยังกะน้ำล้างก้น นัยว่าเป็นการลดต้นทุนเพื่อไม่ต้องบวกเพิ่มลงไปในราคาขาย แต่ขนมไทยถ้าไม่ถึงเครื่องมันก็ไม่อร่อยน่ะสิ ว่าแล้วก็มาเริ่มทำกันเลยดีกว่าครับ

ส่วนผสม

แป้งขนมบัวลอยสำเร็จรูป, กะทิสำเร็จรูป, เกลือป่น, น้ำตาลทราย, น้ำตาลมะพร้าว ถ้าไม่มีใช้น้ำตาลปี๊บแทนก็ได้ครับ กะทิสำเร็จรูปแป้งขนมบัวลอยสำเร็จแป้งขนมบัวลอยสำเร็จรูปอย่างที่เคยย้ำหลาย ๆ ครั้งครับว่า บทความแนว“ทำกับข้าวกินเองฯ”ที่ผมเขียนนี้เน้นที่ความสะดวกและรวดเร็ว ก็อาจจะมีละเลยบางส่วนหรืออาจจะใช้ของสำเร็จรูปมาใช้แทน ดังนั้นแทนที่ผมจะปั้นแป้งบัวลอยเองก็เลยใช้แบบสำเร็จรูปที่มีวางขายในซุปเปอร์ฯแทน แต่ก็มีวิธีทำให้สำหรับคนที่อยากทำเองหมดนะครับ ดังนี้  ผสมแป้งข้าวเหนียว, เผือกนึ่ง(กรณีสีเทา), ฟักทอง(กรณีสีเหลือง), น้ำใบเตย (สีเขียว), น้ำดอกอัญชัญ (สีม่วง) ฯลฯ และน้ำเปล่าเข้าด้วยกัน นวดจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงนำมาปั้นเป็นลูกกลมๆ เล็กๆ ระหว่างปั้นนั้น ควรโรยด้วยเศษแป้งข้าวเหนียวเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกบัวลอยติดกัน

วิธีทำ

1. ต้มน้ำในหม้อขนาดกลางให้น้ำเดือด สำหรับผมใช้กระทะไฟฟ้าแค่ใบเดียวก็เลยทำแค่เปิดสวิทช์กระทะรอให้กระทะร้อน และต้มน้ำให้เดือด ใส่ลูกบัวลอยลงไป2. เมื่อแป้งบัวลอยสุก ตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น (บัวลอยที่สุกแล้วจะลอยขึ้น)

3. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่กะทิสำเร็จรูปผสมน้ำเปล่าในอัตรากะทิต่อน้ำประมาณ 2:1 ใส่เกลือป่นเล็กน้อย ใส่น้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลปี๊บ และคนให้น้ำตาลละลายเข้ากันดี ลองชิมรสถ้าไม่หวานค่อยเติมน้ำตาลทรายลงไป รสชาติจะออกหวาน เค็มมันนิด ๆ ครับ

4. ตักแป้งบัวลอยจากที่เราแช่ในน้ำเย็นเอาไว้ลงไปต้มในกะทิ

5. ตอกไข่ใส่ลงไปในบัวลอยน้ำกะทิที่กำลังเดือด เมื่อไข่สุก ปิดสวิทช์กะทะ หรือยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟได้เลยครับ

แป้งบัวลอยที่สุกจะลอยขึ้น ตักแป้งบัวลอยที่สุกแล้วมาแช่ในน้ำเย็น ใส่ไข่ลงไปในบัวลอยน้ำกะทิที่กำลังเดือด

หน้าตาของ “บัวลอยไข่หวาน” ที่สำเร็จแล้วครับ แหม ดูเหมือนที่เขาทำ ขายกันเลยนะเนี่ย

Photo0595_800x600

รูปภาพประกอบบทความนี้ทั้งหมดถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์มือถทอคู่ใจ Nokia X-3 เช่นเคยครับ

ขอให้ทำกับข้าวให้สนุกและอร่อยนะครับ

(30 กรกฏาคม 2554)

ทำกับข้าวกินเองตามประสาชาย(โฉด)โสด #21


ปลาแซลมอนผัดพริกไทยดำ

ปลาแซลมอนเมื่อวันก่อนแวะเข้าบิ๊กซีก่อนเข้าบ้านได้ปลามาหลายอย่าง นอกจากปลาหิมะที่เอามานึ่งซีอิ๊วเมื่อคราวก่อนยังมีแซลมอนอีกครับ จริง ๆ แล้วตอนที่ซื้อแซลมอนมาเนี่ยก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะเอามาทำอะไรดี แต่เห็นว่ามันสดดีเลยหยิบมาไว้ก่อน ไว้ถึงเวลาทำค่อยว่ากัน พอถึงเวลาจะทำจริง ๆ กลับยากแฮะไม่รู้จะทำอะไรดี เดินไปค้น ๆ ในตู้เย็นดู เห็นว่าพอจะมีเครื่องหลายอย่างพอจะมาประยุกต์ได้ก็เลยคิดว่าเมนูนี้แหละ “ปลาแซลมอนผัดพริกไทยดำ” และแน่นอนครับจั่วหัวเรื่องไว้แล้วว่า “ทำกับข้าวกินเองตามประสาชายโฉดโสด” จึงจะต้องเป็นเมนูที่ทำไม่ยาก ชายโฉดโสดอย่างเรา ๆ ทำได้สบาย ๆ ครับ มาเริ่มทำกันเลยดีกว่า

ส่วนผสม
ปลาแซลมอน, เบคอนสับ, ลูกชิ้นแคะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ, หอมหัวใหญ่สับ, คึ่นไช่สับ, แครอทหั่นเต๋า, ต้นหอมสับ, ผักไควาเระ, น้ำมันพืช, เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด, แป้งชุบทอด, น้ำมันหอย, ซอสพริกไทยดำ, ซีอิ๊วขาว, น้ำปลา, เกลือป่น, น้ำตาลทราย

คึ่นไช่,หอมหัวใหญ่สับ,ต้นหอมสับ,แครอท ผักไควาเระ เบคอนสับ, ลูกชิ้นแคะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด

วิธีทำ
1. ล้างปลาแซลมอนให้สะอาด และซับน้ำออกให้แห้ง โรยเกลือป่นเล็กน้อยแต่ให้ทั่วชิ้นปลา จากนั้นนำมาชุบแป้งชุบทอดให้ทั่วชิ้นปลา

นำชิ้นปลามาชุปในแป้งชุบทอด นำไปทอดในน้ำมันพืช หลังจากทอดเสร็จจะเห็นเป็นสีเหลืองกรอบน่ากินเชียวครับ

2. ตั้งกระทะใช้ไฟแรงใส่น้ำมันพืชลงไปพอน้ำมันร้อนดีก็ใส่ชิ้นปลาลงไป ทอดให้พอเหลืองกรอบแล้วตักขึ้น พักไว้
3. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย พอน้ำมันร้อนดีแล้วใส่หอมหัวใหญ่สับลงไปผัด พอหอมหัวใหญ่ใส ๆ และมีกลิ่นหอม ใส่เบคอนสับและลูกชิ้นแคะที่หั่นเป็นชิ้น ๆ ลงไปผัดให้สุก
4. เติมน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำปลา และน้ำตาลทราย ผัดให้เข้ากัน จากนั้นค่อยใส่ผัก แครอท คึ่นไช่สับ ผักไควาเระ ผัดให้พอสุก จากนั้นใส่ซอสพริกไทยดำลงไป โยนต้นหอมสับและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดลงไปและผัดต่อจนส่วนผสมต่างๆเข้ากันดี ปิดไฟ และตักส่วนผสมทั้งหมดราดลงบนชิ้นปลาแซลมอนที่ทอดไว้ เป็นอันเสร็จครับ ตักใส่จานโรยหน้าด้วยผักชีหรือคึ่นไช่สับและเสิร์ฟกับข้าวสวยร้อน ๆ

Photo0551_800x600
เช่นเคยครับรูปภาพทั้งหมดถ่ายโดย Nokia X3 คู่ใจเช่นเคย
(19 มิถุนายน 2554)

ทำกับข้าวกินเองตามประสาชาย(โฉด)โสด #20


ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊ว

ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊วคราวนี้มาทำเมนูปลากันบ้างครับ เนื่องจากวันนี้แวะเข้าบิ๊กซีก่อนเข้าบ้าน ได้ปลามาหลายอย่างเชียว สำหรับเมนูปลาเมนูแรกก็คือ“ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊ว”ครับ มาเริ่มกันเลย

ส่วนผสม
ปลาหิมะ, ขิงซอย, เห็ดหอมหั่นเป็นชิ้นๆ, พริกหวานซอยเป็นเส้นเล็กๆ, คึ่นไช่, ต้นหอมฉีกเป็นฝอย, เนยสด, ซีอิ๊วขาว, น้ำมันหอย, เหล้าจีน, พริกไทยป่น, น้ำซุป, น้ำมันพืช

ปลาหิมะ พริกหวานซอย ขิงซอย, ต้นหอมฉีกเป็นฝอย, คื่นไช่ เห็ดหอม

นึ่งปลาหิมะให้สุกและพักไว้วิธีทำ
1. นำปลาหิมะไปนึ่งให้สุกพักไว้
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อนดีใส่ขิงซอยลงไปผัดให้หอม พอเริ่มมีกลิ่นหอมใส่เนยสด และเห็ดหอมลงไปผัดด้วยกัน
3. เติมซอสปรุงรส (คือซีอิ๊วขาว+เหล้าจีน)และน้ำมันหอย จากนั้นเติมน้ำซุป
4. เติมต้นหอมฉีกเป็นฝอย คึ่นไช่ และพริกหวานซอย ผัดต่อแค่พอผักสลด ปิดไฟ ตักราดลงบนปลาหิมะที่นึ่งไว้แล้ว
5. ตกแต่งจานด้วยคึ่นไช่ พริกหวานซอย ต้นหอมฉีกฝอย และพริกชี้ฟ้า ทานกับข้าวสวยร้อนๆ อาหย่อยยยยย

มาดูผลสำเร็จกันครับ "ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊ว"

สำหรับภาพถ่ายทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับเจ้า Nokia  X3 อีกเช่นเคย

(18 มิถุนายน 2554)

ทำกับข้าวกินเองตามประสาชาย(โฉด)โสด #19


ตับหวาน

วันนี้เกิดเปรี้ยวปากอยากจะกินตับครับ ก็เลยคิดว่าเมนูนี้แหละเหมาะสม ไม่ยากและไม่เสียเวลาในการปรุงมากมายสไตล์ “ทำกับข้าวกินเองตามประสาชายโฉดโสด”ไงครับ

“ตับหวาน” เป็นอีกเมนูหนึ่งที่เรามักจะสั่งกันทั่วไปเวลาเราไปทานอาหารตามร้านอาหารอีสาน นอกเหนือจากลาบ น้ำตก ส้มตำ ฯลฯ เมนูนี้นับเป็นเมนูโปรดของผมเลยก็ว่าได้เพราะว่าไปทานที่ไหนมักจะไม่พลาดที่จะสั่งมาเสมอ และหลังจากที่ได้ทานตามร้านต่างๆ  หลายต่อหลายหนก็เลยเกิดความคิดอยากจะลองทำกินเองดูบ้าง จึงเป็นที่มาของบทความในตอนนี้ละครับ

เอาล่ะเกริ่นกันมาพอหอมปากหอมคอและ  มาเริ่มกันเลยดีกว่า เริ่มด้วยส่วนผสมกับเลยครับ

ส่วนผสม
ตับสด จะเป็นตับหมูหรือตับวัวก็ได้ แต่ผมใช้ตับหมูเพราะหาซื้อง่ายกว่า, ต้นหอมสับละเอียด, ผักชีฝรั่งสับละเอียด, หัวหอมแดงซอย, ใบสะระแหน่, ผักชี, ข้าวคั่ว, พริกป่น, มะนาว, น้ำตาลทราย, น้ำปลา
ตับสด หัวหอมแดง, ต้นหอม, ผักชีฝรั่ง มะนาว ใบสะระแหน่, ผักชี ข้าวคั่วและพริกป่น ไข่ปลาสลิด
ส่วนผสมจริงๆก็มีเท่านี้ครับแต่ว่าคราวนี้ผมได้ไข่ปลาสลิดมาด้วยเลยเอามาใส่ลงไปด้วยเพื่อเพิ่มความหอม + เค็ม + มัน โดยเราเอาไข่ปลามาบี้ให้พอละเอียดนิดหน่อย

หมายเหตุ ข้าวคั่วนั้นถ้าอยากจะทำเองก็ไม่ยากครับ แค่ตั้งกระทะไฟร้อนปานกลาง ใส่ข้าวสารหรือข้าวสารเหนียว(ข้าวเหนียวที่ยังไม่ได้นึ่งสุก) ลงไปคั่วโดยใส่ข่า, ตะไคร้และใบมะกรูดลงไปคั่วด้วยกันเพื่อให้มีกลิ่นหอม พอข้าวเริ่มมีสีเหลืองเกือบจะเป็นสีน้ำตาลก็ตักขึ้น พักไว้ให้เย็นแล้วค่อยเอาไปตำให้ละเอียด เท่านี้เองครับ แต่อย่างว่าแหละ มันเริ่มยุ่งยากขัดกับหลักการ“ทำกับข้าวกินเองตามประสาชายโฉดโสด”ซึ่งเน้นความเรียบง่าย สะดวก รวดเร็ว ดังนั้นผมก็เลยใช้ข้าวคั่วที่เขาทำสำเร็จรูปมาแล้ว ข้อเสียคือกลิ่นจะไม่ค่อยหอมมากเหมือนทำเองเท่านั้นแหละครับ

วิธีทำ
1. เปิดสวิทช์กระทะรอให้กระทะร้อน ใส่น้ำสต็อกลงไปสักหนึ่งถ้วย (ถ้วยเล็กแบบที่ใส่ขนมนาครับเราแค่จะลวกตับไม่ใช้ต้มตับ ถ้าไม่มีน้ำสต็อกจะใช้น้ำเปล่าแทนก็พอได้) เมื่อน้ำเดือดได้ที่ก็ใส่ตับสดลงไปลวก แต่ยังไม่ถึงกับสุกมากนะครับ เพราะถ้าสุกมากแล้วมันจะแข็งทานไม่อร่อย 2. สังเกตพอตับเริ่มสุก คือสุกๆดิบๆ ก็ใส่ หัวหอมแดงซอย, ต้นหอมสับและผักชีฝรั่งสับลงไป
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว น้ำตาลทราย พริกป่น
4. ใส่ข้าวคั่วกับไข่ปลาสลิดป่นลงไป ชิมรสตามชอบ สังเกตได้ว่าเมื่อถึงตอนนี้ตับก็จะสุกพอดี ไม่สุกมากจนแข็งเกินไป น้ำสต็อกที่ใส่เพื่อลวกตับนั้นก็จะพอขลุกขลิกกำลังดีเชียว
5. ปิดไฟและตักใส่จานโรยหน้าด้วยใบสะระแหน่กับผักชี เสิร์ฟได้เลยครับ จะทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ หรือเบียร์เย็นๆ ก็อร่อย

สำหรับรูปถ่ายก็ใช้กล้องมือถือ Nokia X3 เก็บภาพเหมือนทุกครั้งครับ
(9 มิถุนายน 2554)

เมื่อถึงวันที่เขาเข้าใจ… เขานั่งน้ำตาไหลอยู่เงียบๆคนเดียว (… แด่สองมือทุกคู่ที่ไกวเปล)


โพสต์นี้ผมได้รับอีเมล์จากเพื่อนคนนึงซึ่งเนื้อหาน่าประทับใจ อ่านแล้วก็อดน้ำตาไหลไม่ได้เชียว เลยก๊อปทั้งยวงมาแปะไว้เป็นการแบ่งปันกันต่อนะครับ

วันที่เขาทำได้มากที่สุดแค่ร้องไห้เสียงดัง … เมื่อเขาหิว
… เพราะมีเลือดสีขาวจากอกของเธอ … ท้องเขาจึงอิ่ม

 

ยามที่เขากำลังจะล้ม ในวันที่พยายามจะยืนเป็นครั้งแรก
… เพราะมีมือของเธอ … เขาจึงมีก้าวแรก … และเป็นก้าวที่มีเธอรอประคอง “อยู่ข้างหน้า”

 

แต่วันที่เขาหัดวิ่ง … เธอกลับเลือกที่จะยืน “อยู่ข้างหลัง”
… เขาหัดวิ่งโดยเริ่มจากก้าวที่ “ห่าง” เธอออกไป
… เขาหัดวิ่งโดยหันหลังให้เธอ
… แต่เธอก็ไม่เคยไปจากตรงที่เขาเริ่มหัดวิ่ง
… เพียงเพื่อให้เขารู้ว่า เมื่อเขาล้ม ถ้าเขากลับมา เขาจะพบรอยยิ้มและคำปลอบใจของเธอที่ตรงนั้น

 

เธอจบแค่อนุปริญญา วุฒิครู กรมอาชีวะฯ … เขาเป็นมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของประเทศ
… แต่เป็นมือของเธอ … ที่กุมมือเขาให้เริ่มหัดเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ ให้เป็นตัว

 

เธอรู้มากที่สุดแค่คณิตศาสตร์ช่างอาชีวะเบื้องต้น … เขาเชี่ยวชาญคณิตศาสตร์วิศวกรรมขั้นสูง
… แต่เป็นเธอ … ที่สอนให้เขานับเลข

 

เธอสอนเด็กอาชีวะบ้านนอกด้วยสไลด์รูล … เขา(เคย)เป็นอาจารย์สอนว่าที่มหาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยชื่อดังด้วย PowerPoint
… แต่เป็นมือของเธอ … ที่จับมือของเขาหัดใช้ชอล์คเขียนกระดานดำ

 

เธอไม่เคยขึ้นเครื่องบิน … เขาจำเครื่องบินได้เกือบทุกรุ่นทุกสายการบินที่มาลงกรุงเทพฯ
… แต่เป็นเธอ  … ที่สอนให้เขาขึ้นรถเมล์ขาวนายเลิศที่หน้าปากซอย

 

เธอไม่เคยไปเมืองนอก … เขาย่ำมาแล้ว 5 ทวีป บินข้ามมาแล้วทุกมหาสมุทรบนโลกใบนี้ มีตราประทับ 30 ประเทศในหนังสือเดินทาง 3 เล่ม
… แต่เป็นเธอ … ที่สอนให้เขาข้ามถนนหน้าบ้าน

 

โลกใบใหญ่ที่สุดของเขาเคยกว้างแค่วงกอดของอ้อมแขนเธอ
… มันเป็นโลกใบที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขา … ผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่ง
… และมันเป็นโลกใบที่เขาสามารถหลับฝันดีได้ทุกคืน

 

เธอเขียนภาษาอังกฤษไม่เป็น … เขาเขียนวิทยานิพนธ์สองเล่มด้วยภาษาอังกฤษ และมีบทความตีพิพม์ในวารสารวิชาการต่างประเทศ
… แต่เป็นมือเธอ … ที่กุมมือเขาให้หัดเขียน a b c

 

เธอไม่รู้มายาทสากล … เขาไม่เคยขัดเขินมารยาทบนโต๊ะดินเนอร์มื้อหรูกับฝรั่ง จีน แขก (และ ไม่ว่าชาติไหนๆ)
… แต่เป็นเธอที่ … สอนให้เขา “ไหว้”, “กราบเบญจางคประดิษฐ์” และ สอนว่าเขาคือ “คนไทยของในหลวง”

 

เธอเดินจ่ายตลาดสดชานเมือง … เขา(เคย)เดินช๊อปฯในซุปเปอร์มาร์เก็ตหรูกลางมหานครปารีส
… แต่เป็นเธอที่สอนให้เขารู้จักนับเงินทอนและตรวจของที่ซื้อให้ครบก่อนออกจากร้าน

 

เธอรู้จักลงทุนแค่ฝากประจำเอาดอกเบี้ย … เขารู้จักลงทุนในตลาดทุน ตลาดอนุพันธ์ ตลาดเงิน และอีกมากมาย
… แต่เป็นเธอที่ … ทำกระปุกหมูตัวแรกให้เขาเก็บเงินที่เหลือจากค่าขนม
… และเป็นมือของเธอ … ที่ประคองมือเขาเซ็นต์ชื่อเปิดสมุดบัญชีธนาคารเล่มแรกในชีวิต

 

เธอเลี้ยงเขามาในบ้านเช่าไม้ชั้นเดียวเก่าๆ … เขาเลี้ยงหลานของเธอในบ้านสามชั้นที่สร้างขึ้นใหม่
… แต่เป็นเธอที่สอนให้เขารู้จักวิธีทำ “บ้าน” ให้เป็น “บ้าน” ที่ทุกคนอยากกลับไป

 

เธอว่ายน้ำไม่เป็น … เขาผ่านการทดสอบว่ายน้ำเข้าสถาบันการเดินเรือพานิชย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศได้สำเร็จ
… แต่เป็นเธอ … ที่นั่งเฝ้าเขาริมสระน้ำตลอดทั้งบ่ายวันแล้ววันเล่า

 

เขาเคยถามเธอว่า เธอว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าเขาจมน้ำเธอจะช่วยเขาได้อย่างไร
เธอตอบเขาว่า “ถ้ามีคนหนึ่งต้องจม เพื่อให้อีกคนลอย เธอจะเป็นคนที่จมเอง …”
วันนั้น … เขาหัวเราะกับคำตอบที่ชวนงงๆของเธอ
เมื่อถึงวันที่เขาเข้าใจ … เขานั่งน้ำตาไหลอยู่เงียบๆคนเดียว
…. เธอได้สอนให้เขารู้จักวิธี “บอกรัก” แบบลูกผู้ชาย
…. “บอกรัก” โดยไม่ต้องใช้คำว่า “รัก” แม้แต่คำเดียว

 

เธอ “ไม่มี” และเธอ “ไม่เป็น” อะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างที่เขา “มี” ที่เขา “เป็น”

 

แต่สิ่งที่เขามี ที่เขาเป็น จะมีความหมายอะไร ถ้าไม่มีเธอ

 

… หรือแม้ว่า …

 

ถ้าไม่มีเธอในวันนั้น … เขาก็ไม่มีวันจะมี ไม่มีวันจะเป็น อย่างที่เขามี อย่างที่เขาเป็นในวันนี้

 

.. ถ้าที่ที่เรียกว่า “สวรรค์” ของทุกความเชื่อในโลกใบนี้มีจริง

 

ผมเชื่อว่า ที่นั้น ที่เรียกกันว่า “สวรรค์” อยู่ “ใต้ฝ่าเท้า” ของเธอนี่เอง

 

โปรแกรมเมอร์รำพึง "เขียนโค้ดให้เหมือนเป็นมรดก ให้คนอื่นอ่านรู้เรื่อง เราจะโดนสิบล้อชนตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้"


ขอเอาของเก่ามาขายกินใหม่อีกเช่นเคย ผมเคยโพสต์บทความนี้เมื่อสักราว ๆ ปีหนึ่งมาแล้ว แต่ดั๊นไปแปะไว้ในเฟซบุ๊ค ซึ่งผมคิดว่ามันคงจะไม่ได้เผยแพร่ในวงกว้างอย่างที่ตั้งใจเท่าที่ควร เนื่องจากระบบความปลอดภัยของเฟซบุ๊คเองที่จำกัด เลยทำให้ต้องเอามา re-post ใหม่อีกหน และผมก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่ว่าจะผ่านไปอีกนานแค่ไหนก็น่าจะยังขายได้อยู่ สำหรับคนทำงานในสายอาชีพ ไอที ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมเมอร์, ซิสเต็มอะนาลิสต์ และตำแหน่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ลองอ่านกันดูครับ

10 สิงหาคม 2554

“พฤษภกาสร    อีกกุญชรอันปลดปลง

โททนต์เสน่งคง    สำคัญหมายในกายมี

นรชาติวางวาย    มลายสิ้นทั้งอินทรีย์

สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี    ประดับไว้ในโลกา”

(กฤษณาสอนน้องคำฉันท์)

“โคควายวายชีพได้    เขาหนัง

เป็นสิ่งเป็นอันยัง    อยู่ไซร้

คนเด็ดดับสูญสัง    ขารร่าง

เป็นชื่อเป็นเสียงได้    แต่ร้ายกับดี”

(โคลงโลกนิติ)

วันนี้ขอเอาคำโคลง, คำฉันท์มาจั่วหัวครับ สืบเนื่องมาจากข้อความที่ผมได้เคยโพสต์ไว้บนเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์เมื่อวัน จันทร์ที่ 20 กันยายนที่ผ่านมานี้ ว่า “ข้อคิดจากงาน /* pOrt 80 BKK */ ‘เขียนโค้ดให้เหมือนเป็นมรดก ให้คนอื่นอ่านรู้เรื่อง เราจะโดนสิบล้อชนตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้'” และก็มีเพื่อนคนหนึ่งยุว่าน่าจะเขียนถึงประเด็นนี้ ไอ่กระผมมันก็ยุขึ้นเสียด้วย ก็เลยอยากจะขอเขียนถึงเรื่องนี้สักหน่อยครับ

ผมเชื่อว่าจากคำฉันท์และโคลงบทข้างบนนี้ เพื่อน ๆ คงจะทราบความหมายดีว่า อันวัว ควาย แลช้างนั้น เมื่อตายแล้วยังเหลือเขา เหลือหนัง เหลืองา ไว้ใช้ทำประโยชน์ แต่คนนั้นไม่เหลืออะไรที่จะเป็นประโยชน์ได้เลย คงมีแต่ความดีเลวเท่านั้นที่จะเป็นที่กล่าวถึงเมื่อตายไปแล้ว

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องเขียนโปรแกรมฟระ! ไอ่คนเขียนนี่มั่วอีกแล้ว! ดูก่อน…ท่านผู้เจริญ! ขอให้ลองติดตามอ่านต่อไปสักหน่อยครับ แล้วจะเห็นความเกี่ยวเนื่องกันทั้ง ๆ ที่มันไม่น่าจะมาเกี่ยวกันได้

พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ โปรแกรมเมอร์หลาย ๆ คนคงจะเคยประสบเหตุการณ์ทำนองว่า เวลาที่ยูสเซอร์มาขอแก้งานที่เราเคยเขียนให้เขาเมื่อนานมาแล้ว เราก็จะมักบอกว่า “ขอเวลารื้อโค้ดดูหน่อยนะพี่ จำไม่ได้ว่าทำอะไรไปมั่งแล้ว” หรือ “อู้ยยยยย! มันนานแล้วอ้ะ ไม่รู้ว่าเก็บไว้ไหนแล้ว ขอหาก่อนนะพี่” หรืออาจจะโวยวายกับยูสเซอร์ว่า “ทำไมไม่สรุปงานให้เรียบร้อยเสียก่อนล่ะ มาขอแก้บ่อย ๆ เนี่ย กว่าจะแก้ได้แต่ละหนมันยากนะ” หรือ …..

ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเคยต้องแก้งานของโปรแกรมเมอร์คนอื่น และแก้งานไปก็สบถก่นด่าบรรพบุรุษของผู้เขียนโปรแกรมคนก่อนอยู่ในใจไปว่า “มันเขียนโปรแกรมประสา…่าอะไร(วะ) อ่านไม่รู้เรื่องเลย แก้ยากฉิบ” หรืออาจจะเป็นถ้อยคำอะไรที่แรงกว่านี้ และอาจจะเป็นไปได้หากมีเวลาพอ ก็เขียนใหม่ให้ทำได้อย่างเก่า ง่ายกว่ามานั่งเสียเวลางัดแงะโค้ดไปและด่าไป

ปกติ โปรแกรมเมอร์อย่างเรา ๆ เนี่ย วัน ๆ แค่เขียนโปรแกรม, คิดหาอัลกอริธึมเพื่อมาแก้ปัญหา, ทดสอบโปรแกรม, แก้บั๊กโปรแกรม ฯลฯ ก็แทบจะไม่เหลือเวลาไปทำอย่างอื่นในชีวิตแล้ว ดังนั้นส่วนใหญ่เราก็จะเขียน ๆ ๆ ๆ ๆ แก้ ๆ ๆ ๆ ๆ โดยที่ไม่เคยบันทึกไว้เลยว่า เราได้เคยทำอะไรไปแล้วบ้างกับโปรแกรมที่เราได้เขียนไป ซึ่งก็เป็นที่มาของข้ออ้างยอดฮิตที่ว่า “ก็มันไม่มีเวลาทำนี่หว่า แค่นี้ก็ส่งงานจะไม่ทันอยู่แล้ว”

งานก็จะเอาเร็ว เอาถูกต้อง เอาสวย(หน้าจอ) เอานู่น เอานี่ เอานั่น เอาโน่น บลา บลา บลา บลา บลา  แต่เวลามีให้นิดเดียว ยิ่งถ้าเป็นเอาต์ซอร์สอาจจะเจอว่าตังค์ก็ยังจะให้นิดเดียวอีกด้วย นี่ยังไม่รวมที่เราจะต้องเขียนโปรแกรมให้รัดกุม ต้องมี security ต้องกันคนที่ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลไม่ให้เข้าถึงได้ ต้องกันการป้อนข้อมูลที่ทำให้ระบบรวนหรือเสียหาย อ้อ! ต้องทำงานเร็วด้วยนะ แล้วก็ยังต้องทำอะไรอีกสารพัด โฮ่! ไปตายซะ!!! แล้วอย่างนี้ใคร้มันจะมีเวลามาเขียนคำอธิบายในโค้ดโปรแกรม หรือมาคิดตั้งชื่อตัวแปรให้มีความหมายอ่านรู้เรื่อง หรือมานั่งคิดประดิษฐ์ทำให้โค้ดโปรแกรมอ่านง่ายกันอีกล่ะ

ครับ ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนั่นมันเป็นความเจ็บปวดที่โปรแกรมเมอร์ทุกคนจะต้องเจอนะผมว่า แต่มันก็ไม่น่าจะนำมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำในสิ่งที่ควรจะทำ ทำไมถึงอย่างนั้น ? ผมจะขอยกตัวอย่างให้เห็นเปรียบเทียบสักเรื่องสองเรื่อง (ต้องขอบอกว่าตัวอย่างที่ยกมานี่เป็นเรื่องที่ผมเคยพบมาจริง ๆ นะครับ มิได้นั่งเทียนแต่งเอา)

1.1 ระบบงานหนึ่งมีโค้ดโปรแกรมที่เขียนมั่วมาก ตั้งชื่อไฟล์ซอร์สโค้ดมั่วมาก ตั้งชื่อตัวแปรมั่วมาก บางครั้งก็เอาชื่อเล่นแฟน เอาชื่อเล่นตัวเองมาตั้งเป็นชื่อตัวแปร แถมยังมีรันเป็นซีรี่ส์ (คือเอาชื่อเล่นแฟนหรือชื่อเล่นตัวเองแล้วก็ตามด้วยตัวเลข 1,2,3…) หรือไม่ก็ใช้ตัวอักษรอะไรที่ไม่มีความหมายเช่น a, b, c คอมเม้นต์อะไรไม่มีสักบรรทัด แถมไล่ไปไล่มาก็พบว่าตัวแปรบางตัวที่ตั้งขึ้นมาก็ไม่เห็นมันจะเอามาใช้ที่ไหนเลย

1.2 ระบบงานหนึ่ง มีคำอธิบายแนวคิดอัลกอริธึมของแต่ละโมดูลอย่างชัดเจน อธิบายและระบุชนิดของตัวแปร, พารามิเตอร์และค่าคืนกลับ (return value) อย่างละเอียดราวกับอ่านพ็อกเก็ตบุ๊ค อยู่ในโค้ดโปรแกรม แถมยังมีบอกด้วยว่า ใครเขียน เขียนเมื่อไร แนวความคิดในการเขียนเป็นอย่างไร ใครแก้ไข แก้ไขเมื่อไร เพราะอะไรถึงต้องแก้ไข แนวความคิดในการแก้ไขเป็นอย่างไร และแก้ไขอะไรบ้าง

หากคุณต้องบำรุงรักษาระบบงานใดระบบงานหนึ่งในสองระบบนี้ คุณอยากได้ระบบไหนมาดูแล ?

2.1 ช็อพพัฒนา (development shop) ช็อพหนึ่ง ก่อนจะพัฒนาระบบสักระบบต้องมีการสำรวจความต้องการของยูสเซอร์หลาย ๆ หน จากนั้นนำความต้องการของยูสเซอร์มาวิเคราะห์และออกแบบระบบ ออกแบบหน้าจอ ออกแบบรายงาน ออกแบบฐานข้อมูลและความสัมพันธ์ ออกแบบคลาสและความสัมพันธ์ วิเคราะห์ความยาก-ง่ายของแต่ละโมดูลและกำหนดวันแล้วเสร็จโดยคร่าว ๆ ของแต่ละโมดูล ตามความยาก-ง่ายนั้น และสามารถประมาณเวลาที่ต้องใช้ในการพัฒนาได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง มีการทำเอกสาร system specification, detail specification และแจกจ่าย specification เหล่านั้นให้กับโปรแกรมเมอร์แต่ละคน ส่วนโปรแกรมเมอร์มีหน้าที่เขียนตาม specification ที่ได้รับ มีทีมทดสอบระบบ มีทีมจัดทำเอกสารคู่มือการใช้งาน จัดทำและจัดเก็บเอกสารระบบ ฯลฯ อ่านมาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่าอย่าอีเดียตน่า ช็อพพัฒนาที่ไหน ๆ เขาก็ทำกันอย่างนี้   แต่… อย่าเพิ่งด่วนสรุปครับเพราะก็ยังมีช็อพพัฒนาอีกแบบที่

2.2 สำรวจความต้องการของยูสเซอร์แค่หนสองหน แล้วก็มาเริ่มพัฒนาระบบ ไม่มีเอกสาร ทั้งซิสเต็มสเป็คฯ ดีเทลสเป็คฯ เวลาจะเขียนโปรแกรมก็เรียกโปรแกรมเมอร์มาเล่าให้ฟังว่ายูสเซอร์อยากจะได้อย่างไร จากนั้นโปรแกรมเมอร์ก็ไปด้นสด ๆ แบบคิดอะไรได้ก็เขียนมันออกมา เอาแค่ให้ตรงกับที่รับฟังมา มิพักจะต้องพูดถึงทีมทดสอบ คนเขียนน่ะแหละทดสอบ เอกสารระบบและการจัดเก็บเอกสารเหรอ? ลืมได้เลย! ประมาณเวลาที่ใช้ก็มั่ว ๆ ไป บอกยูสเซอร์ไปก่อนว่าเร็วที่สุดเท่าที่อยากจะได้น่ะแหละ เดือนนึง สองเดือน เสร็จไม่ทันก็ขอเลื่อนนะคร้าบพี่น้องคร้าบ

หากคุณมีโอกาสเลือกจะอยู่คุณอยากจะอยู่ช็อพไหน ?

ไม่ต้องบอกผมหรอกนะว่าคุณเลือกอย่างไร ผมเดาว่าในใจของทุกคนคงจะมีคำตอบ และต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองอยู่แล้ว และในเมื่อเราเองก็ต้องการ ทำไมเราจะไม่ทำสิ่งที่เราต้องการเสียเลยล่ะ ? ดังนั้นผมจึงได้บอกว่าสิ่งที่บ่น ๆ มาเมื่อต้นบทความนั้นมันไม่น่าจะนำมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำในสิ่งที่ควรจะทำ

เริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อนเลยครับ โดยที่ถ้ายังไม่มีมาตรฐานก็กำหนดมาตรฐานเสีย การตั้งชื่อแฟ้ม, การตั้งชื่อตัวแปร ฯลฯ เขียนคอมเม้นต์ในโค้ดโปรแกรม เขียนแนวความคิด เขียนคำอธิบายการแก้ไขแต่ละครั้งว่าแก้ไขอะไร อย่างไร เพราะอะไร ตั้งชื่อตัวแปรให้มีความหมาย กำหนดชนิดของตัวแปรให้ชัดเจน สมัยก่อนที่ IDE ยังไม่ฉลาด ก็มีการคิดค้นวิธีที่ช่วยให้โค้ดอ่านง่าย เห็นชื่อตัวแปรแล้วเดาชนิดของมันได้ซึ่งเรียกว่า “Hungarian notation” โดยมีการกำหนด prefix ของชื่อตัวแปรตามชนิดของตัวแปรนั้น ๆ เช่น strName คือ string, iRange คือ integer เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่เราทำเหล่านี้ก็ย้อนกลับมาช่วยเราเองด้วย เวลาที่เรากลับมาดูงานเราจะได้จำได้ว่าเราทำอะไรไว้บ้าง แต่ในปัจจุบัน การใช้ Hungarian notation อาจจะไม่ค่อยจำเป็นมากนักเพราะ IDE ฉลาดขึ้น แค่เราพาเมาส์พ้อยเตอร์ไปวางที่ชื่อตัวแปรเราก็จะรู้ชนิดของตัวแปรนั้น ๆ แล้ว

โค้ดบางช่วงที่เรามั่ว ๆ ทำให้เสร็จไปก่อนแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดนั้นก็ใส่คอมเม้นต์ พวก TODO: หรือ FIXME: ไว้ด้วยก็จะดี เพื่อที่เราจะได้หาที่ที่จะกลับมาแก้ไขหรือปรับปรุงในคราวหน้าได้ง่าย ๆ

เพียงเท่านี้โค้ดโปรแกรมก็จะอ่านง่ายขึ้น โปรแกรมเมอร์คนอื่น ๆ ก็อาจสามารถแก้ไขโค้ดโปรแกรมของคุณได้ง่ายขึ้น ในทางกลับกันคุณก็อาจสามารถแก้ไขโค้ดโปรแกรมที่คนอื่นเขียนไว้ได้ง่าย ๆ เช่น กัน ทีนี้คุณก็สามารถที่จะ”ตายตาหลับ”ได้แล้ว อย่าไปคิดว่า “ถ้าฉันเขียนโปรแกรมให้อ่านง่าย ๆ แก้ไขง่าย ๆ คนอื่นก็จะเอาโปรแกรมฉันไปแก้ได้สิ แล้วฉันก็จะหมดความสำคัญไปล่ะสิ” หมดเวลาสำหรับแนวคิดดีโน่ (dino = dinosaur ไดโนเสาร์นั่นแหละ) แบบนั้นแล้วครับ ลองคิดดูสิ ถ้ามีพวกโปรแกรมเมอร์สมองดีโน่อย่างนี้ทั้งโลก เราจะได้เห็นโครงการโอเพ่นซอร์สดี ๆ อย่าง OpenOffice, GIMP, Apache หรือ Linux ใน พ.ศ.นี้กะเขาเหรอครับ

ผมเองนับได้ว่าเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่ง เพราะว่าที่ทำงานที่แรกที่ผมเริ่มต้นอาชีพโปรแกรมเมอร์นั้นเป็น Software House ที่มีการบริหารจัดการที่ดีพอสมควร เป็นประเภทช็อพที่ 2.1 เรื่องพื้นฐานเหล่านี้มันก็เลยติดตัวมา

จำได้ว่าวันแรกที่ไปเริ่มงาน เจ้านายผมไม่ได้ให้เริ่มต้นทำงานเลยนะ แต่จับมาคุยกันเรื่องมาตรฐานของช็อพและอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ประโยคนึงที่ยังจำได้มาจนถึงวันนี้เลยก็คือ “คุณตั้งใจจะเป็นแค่ โปรแกรมเมอร์ที่พัฒนาแค่ระบบงานนึงและก็จมอยู่กับระบบงานเดียวนั้นไปจนตลอดชีวิตโดยที่ไม่ได้มีโอกาสทำอย่างอื่นเลยหรือปล่าว? ถ้าคุณอยากเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน คุณก็ต้องทำตามมาตรฐานและเขียนโค้ดให้คนอื่นอ่านเข้าใจได้ เพื่อที่เวลาคุณเลื่อนตำแหน่งหรือไปทำระบบอื่น คนอื่น ๆ จะได้แก้งานของคุณได้” (ขอถือโอกาสขอบคุณพี่ประพนธ์ คล้ายอุดมมาในที่นี้ เผื่อพี่จะพลัดหลงเข้ามาอ่านบทความนี้เข้า คำสอนของพี่มีค่ามาก ๆ และผมก็ยังจำได้มาจนบัดนี้ เกือบยี่สิบปีในชีวิตการทำงานสายไอที ก็พยายามยึดคำสอนของพี่มาตลอดครับ)

ก่อนจบบทความนี้ผมก็ใคร่จะขอเอาคำฉันท์ที่จั่วหัวขึ้นต้นไว้กลับมาใช้อีกสักหน แต่ปรับเปลี่ยนเป็นแบบของผมนะครับ

พฤษภกาสร     อีกกุญชรอันปลดปลง

โททนต์เสน่งคง     สำคัญหมายในกายมี

โปรแกรมเมอร์เมื่อวางวาย     มลายสิ้นทั้งอินทรีย์

เหลือซอร์สโค้ด(ที่)เลวหรือดี     ประดับไว้ในโลกา

ราตรีสวัสดิ์ครับ

First Post: 22 กันยายน 2553
Last Post: 10 สิงหาคม 2554

ทำกับข้าวกินเองตามประสาชาย(โฉด)โสด #18


กล้วยบวดชี

คราวนี้เปลี่ยนเป็นทำขนมบ้างครับ เรื่องของเรื่องคือมีเพื่อนคนหนึ่งคอมเม้นต์มาว่า เห็นแต่ทำอาหาร ไม่เคยเห็นทำขนมบ้างเลย ผมเองปกติเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทานของหวาน เลยไม่ค่อยสนใจทำขนมเท่าไร อีกอย่างผมว่าทำขนมเนี่ยมันยุ่งยาก ส่วนผสมทุกอย่างต้องเป๊ะไม่งั้นไม่อร่อย จะกะมั่วๆแบบตามแต่ใจไม่ได้ แต่บังเอิญว่าที่บ้านมีดงกล้วยน้ำว้าอยู่ดงหนึ่งพอดีออกเครือ และเพิ่งตัดออกมา แต่กล้วยสุกเร็วจนกินไม่ทัน ก็เลยต้องหาวิธีการถนอมกล้วยไว้กินนานกว่าเดิม ครั้นจะไปทำกล้วยตากก็ไม่เวิร์กครับ ฤดูนี้ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจ ตากไว้เจอฝนตกตอนกลางวันจะพานเสียของปล่าวๆ เพราะไม่มีคนคอยเก็บ ก็เลยตกลงใจทำอะไรที่ง่ายๆ สไตล์ “ทำกับข้าวกินเองตามประสาชายโฉดโสด” นี่แหละ

กล้วยน้ำว้าสุก ส่วนผสม
กล้วยน้ำว้าสุก, กะทิ เช่นเคย ผมขี้เกียจคั้นกะทิเองก็เลยใช้กะทิสำเร็จรูปล่ะครับ, น้ำตาลทราย, เกลือป่น

วิธีทำ
1. นำกล้วยมาปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นสี่ส่วน (ดูรูปเลยครับ อธิบายไม่ถูก)
2. ตั้งกระทะ(หรือหม้อ แต่ผมมีแค่กระทะไฟฟ้าใบเดียวก็เลยต้องตั้งกระทะ) นำกะทิผสมน้ำเปล่าประมาณน้ำต่อกะทิ 1:2 ส่วน ติ๊ต่างว่าเป็นหางกะทิครับ ต้มให้เดือด ใส่เกลือป่นลงไปเล็กน้อย
3. พอกะทิเริ่มเดือดใส่น้ำตาลทรายลงไปคนให้ละลาย ชิมรสดูประมาณหวาน มัน เค็ม
4. ใส่กล้วยลงไปต้มให้สุก ตอนนี้จะใส่หัวกะทิเพิ่มลงไปอีกหน่อยก็ได้ แต่ผมว่ากะทิสำเร็จรูปนี่มันข้นดีแล้ว ขนาดผสมน้ำในตอนแรกมันก็ยังข้นได้ใจดีเลย ก็เลยไม่ใส่เพิ่ม ซึ่งก็แล้วแต่นะครับ ถ้าใครชอบแบบเข้มข้นก็เติมได้ตามแต่ใจเลยครับ
5. พอกล้วยสุกดี ปิดไฟ และตักใส่ถ้วย เสิร์ฟได้ทันที

นี่ครับหน้าตากล้วยบวดชีครั้งแรกในชีวิตของผม

(7 มิถุนายน 2554)